เมนู

" โอ ! ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้น่าอัศจรรย์ มีพระคุณไม่
ทรามเลย."
พระศาสดาเมื่อตรัสกับมหาชน ตรัสอย่างนี้ว่า "ชัมพุกะนี้ วาง
สักการะที่พวกท่านนำมาแล้ว ที่ปลายลิ้นด้วยปลายหญ้าคา ตลอดกาล
ประมาณเท่านี้ อยู่ในที่นี้ ด้วยหวังว่า ' เราบำเพ็ญการประพฤติตบะ;'
ถ้าเธอพึงบำเพ็ญการประพฤติตบะสิ้น 100 ปีด้วยอุบายนี้ไซร้, ก็การ
บำเพ็ญตบะนั้น ยังไม่ถึงเสี้ยวแม้ที่ 16 แห่งกุศลเจตนาเป็นเครื่องตัดภัต
ของเธอผู้รังเกียจสกุลหรือภัต แล้วไม่บริโภคในบัดนี้" ดังนี้แล้ว เมื่อ
จะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
11. มาเส มาเส กุสคฺเตน พาโล ภุญฺเชถ โภชนํ
น โส สงฺขาตธมฺมานํ กลํ อคฺฆติ โสฬสึ.
"คนพาล พึงบริโภคโภชนะด้วยปลายหญ้าคา
ทุก ๆ เดือน, เขาย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 แห่งท่าน
ผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว."

แก้อรรถ


พึงทราบเนื้อความแห่งคาถานั้นว่า :-
" ถ้าคนพาล คือผู้มีธรรมยังไม่กำหนดรู้ เหินห่างจากคุณมีศีล
เป็นต้น บวชในลัทธิเดียรถีย์ บริโภคโภชนะด้วยปลายหญ้าคาทุก ๆ เดือน
ที่ถึงแล้ว ด้วยหวังว่า "เราจักบำเพ็ญการประพฤติตบะ" ชื่อว่า พึง
บริโภคโภชนะตลอด 100 ปี.
ในกึ่งพระคาถาว่า น โส สงฺขาตธมฺมานํ กลํ อคฺฆติ โสฬสึ

แสดงเป็นบุคลาธิษฐานว่า "ท่านผู้มีธรรมอันรู้แล้ว คือผู้มีธรรม
อันชั่งได้แล้ว เรียกว่าผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว, บรรดาท่านเหล่านั้น
โดยที่สุดมี ณ เบื้องต่ำ พระโสดาบัน ชื่อว่าผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว,
โดยที่สุดมี ณ เบื้องสูง พระขีณาสพ ชื่อว่าผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว;
ชนพาลนั้น ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 ของท่านผู้มีธรรมอันนับได้แล้วเหล่านี้.
ส่วนเนื้อความในกึ่งพระคาถานี้ พึงทราบดังนี้ :-
ก็เจตนาของคนพาลนั้น ผู้บำเพ็ญการประพฤติตบะอย่างนั้น ตลอด
100 ปี เป็นไปสิ้นราตรีนานเพียงนั้น ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 แห่งกุศล-
เจตนาเครื่องตัดภัตดวงหนึ่งของท่านผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว รังเกียจสกุล
หรือภัตแล้วไม่บริโภค.
พระศาสดา ตรัสอธิบายไว้ดังนี้ว่า "ผลแห่งส่วนหนึ่ง ๆ จาก
ส่วนที่ 16 ซึ่งทำผลแห่งเจตนาของท่านผู้มีธรรมอันนับได้แล้วนั้นให้
เป็น 16 ส่วนแล้ว ทำส่วนหนึ่ง ๆ จาก 16 ส่วนนั้น ให้เป็น 6 ส่วน
อีกนั้นแล ยังมากกว่าการประพฤติตบะของชนพาลนั้น."
ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัย ได้มีแก่สัตว์ 8 หมื่น 4 พัน
แล้ว ดังนี้แล.
เรื่องชัมพุกาชีวก จบ.

12. เรื่องอหิเปรต [56]


ข้อความเบื้องต้น


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภอหิเปรต
ตนใดตนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น หิ ปาปํ กตํ กมฺมํ"
เป็นต้น.

พระมหาโมคคัลลานเถระทำการยิ้ม


ความพิสดารว่า ในวันหนึ่ง ท่านพระลักขณเถระ ภายในชฎิล
พันหนึ่ง และท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ลงจากภูเขาคิชฌกูฏด้วย
คิดว่า "เราจักเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์." บรรดาพระเถระ 2 รูป
นั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เห็นอหิเปรตตนหนึ่ง จึงได้กระทำการ
ยิ้มแย้มให้ปรากฏ. ลำดับนั้น พระลักขณเถระ ถามเหตุกะพระเถระนั้นว่า
" ผู้มีอายุ เพราะเหตุไร ท่านจึงทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ ?" พระเถระ
ตอบว่า "ผู้มีอายุ นี้ไม่ใช่กาลแล เพื่อวิสัชนาปัญหานี้, ท่านพึงถามผม
ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด." เมื่อพระเถระทั้งสองนั้น เที่ยว
บิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งแล้ว,
พระลักขณเถระถามว่า " ท่านโมคคัลลานะผู้มีอายุ ท่านลงจากภูเขา
คิชฌกูฏ ทำการยิ้มแย้มให้ปรากฏ ผมถามถึงเหตุแห่งการยิ้มแย้ม ได้
กล่าวว่า ' ท่านพึงถามผมในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า,' บัดนี้ ท่านจง
บอกเหตุนั้นเถิด."